Monday, February 24, 2014

ช็อคตายย

มีนิทานเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ฟังครับ ถ้าพร้อมแล้วแล้ว มาฟังกันเลยครับ

มียายคนนึงอายุประมานแปดสิบกว่าๆ ยายคนนี้มีหลานอยู่ 3 คน
วันนึงก็ไปทำบุญที่วัด รับดอกไม้ธูปเทียน ไหว้พระเสร็จก็ทำบุญ 20 บาท
แล้วก่อนออกจากวัดก็เจอคนขายล็อตเตอรี่ ยายสงสารก็เลยซื้อมาเล่มนึง (ทำบุญ 20 ซื้อหวยชุดใหญ่ 555)
จากนั้นยายก็เอาไปฝากหลานๆไว้เพราะยายแก่แล้ว กลัวลืม เลยวานหลานเก็บไว้ และตรวจให้
พอถึงวันออก หลานๆก็ตรวจรางวัล ก็ตกใจ!! ยายถูกรางวัลที่ 1 ยกชุด 60 ล้าน
หลานก็ปรึกษากันว่า ยายน่ะแก่แล้ว แถมเป็นโรคหัวใจ โรคความดัน กลัวว่ายายรู้เรื่องจะช็อคตาย
ก็เลยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหมอ พอหมอรู้เรื่องหมอก็รับปากว่า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะจัดการให้
หมอก็เลยเดินทางไปหายาย แล้วก็ตรวจสุขภาพตามปกติ จากนั้นหมอก็เริ่มสนทนากับยาย
หมอ : ยายๆ ช่วงนี้เป็นไงมั่ง ได้ไปเที่ยวทำบุญบ้างมั้ย?
ยาย : ก็ไปมาเหมือนกัน เนี่ย เมื่ออาทิตย์ก่อนก็พึ่งไปมาเอง
หมอ : ดีแล้วยาย เอ้อ! ว่าแต่ยายได้ซื้อล็อตเตอร่งล็อตเตอรี่เก็บไว้บ้างเปล่า
ยายได้ยินหมอพูดยายก็จำได้ ยายเลยบอกหมอไป
ยาย : ซื้อๆๆ ยายซื้อไว้เล่มนึง
หมอเลยเริ่มทำตามแผนที่ตนวางไว้
หมอ : ยายๆ ถ้าสมมตินะ ว่ายายถูกรางวัลที่หนึ่งสัก 60 ล้านอ่ะ ยายจะเอาไปทำอะไร
ยาย : อืมมม...ถ้ายายถูกน่ะหรอ ยายเองก็มีแต่หลาน ก็คงจะแบ่งให้หลานๆน่ะแหละ
หมอได้ยินดังนนั้นหมอก็จำเอาไว้เพื่อไปบอกหลาน แล้วยายก็พูดต่อ
ยาย : แต่ในฐานะที่หมอดูแลยายอย่างดีมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปีนะ ยายว่าจะตอบแทนหมอสักหน่อย ยายกะว่าจะแบ่งให้หมอสักสิบล้าน
หมอได้ยินดังนั้นหมอก็ช็อคตายยย 555

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าอะไรที่เราได้มาโดยไม่ได้สร้างมันมากับมือ แล้วมันมีมูลค่าเยอะมาก อาจทำให้เราช็อค ตายยย ด้ายยย 555

Friday, February 21, 2014

วิธีก้าวข้ามไปสู่การมีรายได้แบบ Passive Income

    Passive Income คือ รายได้ กระแสเงินสดที่เข้ามาโดยที่เราไม่ต้องออกแรงทำงาน หรือพูดง่ายๆก็คือ ใช้สินทรัพย์บางอย่างทำงานแทนเรานั่นเองงงงง!!!!

    การที่จะทำให้ได้มาซึ่ง Passive Income นั้นมีหลายๆวิธี และปัจจุบันนี้ก็ได้มีหนังสือหลายๆเล่มที่ออกมาเพื่อสอนวิธีการเพื่อให้มีรายได้แบบ Passive Income และผมก็จะมาบอกเล่าวิธีการมีรายได้แบบไร้ขีดจำกัดแบบ Passive Income กันนะครับ

  แบบแรก ตอนนี้บูมมากครับ นั่นคือ ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ขอย้ำนะครับว่า ลงทุนครับ ไม่ใช่เก็งกำไร เพราะถ้าคุณเก็งกำไร อย่างไรคุณก็ยังต้องนั่งเฝ้าระบบของคุณอยู่ดี คือคุณเป็นเจ้านายตัวเอง แต่ก็ยังไม่มีอิสระเต็มที่ แต่เราจะพูดในแง่ของการลงทุน ก็คือ เฟ้นหาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีพื้นฐานดีๆแล้วมาวิเคราะห์ โดยดูจาก งบการเงิน P/V P/BV ROE ดูตำแหน่งในอุตสาหกรรม ดูแนวโน้มธุรกิจ ดูการจ่ายปันผลว่าสม่ำเสมอหรือไม่(หาตัวที่มีปันผลตอบแทน 5% ขึ้นไปยิ่งดี) และที่สำคัญไม่แพ้ด้านการเงินคือ ผู้บริหารมีคุณธรรมหรือไม่ ถ้าคุณพบมันแล้วก็นำเงินเตรียมที่จะซื้อ เงินนี้อาจจะเป็นเงินเย็นที่เตรียมไว้สำหรับลงทุนโดยเฉพาะ หรือว่าจะเป็นเงินที่แบ่งไว้เพื่อออมก็ได้ จากนั้นรอหาโอกาสซื้อ ซื้อในตอนที่มันถูกกว่าราคาพื้นฐาน เช่น เจอวิกฤตหนัก แต่ต้องเป็นวิกฤตที่ไม่กระทบโดยตรงต่อพื้นฐานของบริษัท พอซื้อเสร็จก็นั่งทับมือไว้เลยครับ ท่องให้แม่น ไม่ขาย!! ไม่ขาย!! ไม่ขาย!! ไม่ขาย!! คุณต้องทนเห็นมันขึ้นมาเป็น 100% 200% หรือตกลง 50% 100% ให้ได้ตราบใดที่คุณยังมองว่าพื้นฐานยังเหมือนเดิม (อันนี้แรกๆผมก็ทนไม่ไหวเหมือนกันครับ ทั้งดอยสูง พอตัดใจคัทปุ๊บ เด้งเลย) ทีนี้พอบริษัทจ่ายปันผลมา เราก็เอาปันผลนั้นไปเปลี่ยนเป็นหุ้นแล้วก็สะสมเพิ่มๆๆๆ จนดอกเบี้ยทบต้น ทบแล้วทบอีก จนปันผลที่ได้ต่อปีมีมากกว่ารายจ่ายต่อปี เพียงเท่านี้คุณก็จะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งการทำงานประจำอีก แต่ถ้าคุณไม่มีทุนมากพอให้ทำได้ในระยะเวลาอันใกล้ ก็ให้ใช้วิธีออมไปเรื่อยๆครับ ไม่เกิน 10 ปี คุณก็จะมีเงินเก็บอยู่ในบัญชีอย่างน้อยเป็นหลักล้าน แล้วทีนี้คุณก็จะทำอะไรได้ง่ายขค้นครับ

  ส่วนอีกวิธีหนึ่งนะครับ วิธีนี้คนส่วนใหญ่มองข้าม นั่นก็คือการทำธุรกิจเครือข่าย!! ขายตรงนั่นแหละครับ แต่ธุรกิจขายตรงผมเน้นว่าต้องศึกษาให้เข้าใจนะครับ เพราะปัจจุบันก็มีมากมายหลายๆยี่ห้อ ต้องศึกษาถึงระบบของมัน ว่า ยุติธรรมมั้ย? เอาเปรียบผู้จำหน่ายหรือเปล่า? สินค้ามีคุณภาพจริงมั้ย? ลูกโซ่หรือเปล่า? ซึ่งวันนี้ผมจะมาแนะนำในมุมมองของผมกันครับว่าการเลือกธุรกิจต้องเลือกอย่างไร ขอออกตัวไว้ก่อนนะครับว่า ที่ผมเขียนเป็นความเห็นของผมเท่านั้น ไม่ได้เป็นการบอกว่า "ต้อง" เลือกตามผมแต่อย่างใดนะครับ วิธีเลือกคร่าวๆก็ดู
- เราต้องสำเร็จได้ (หมายถึงทำแล้วสำเร็จได้นะครับ ไม่ใช่ไม่ทำแล้วบอกว่ายาก)
- ต้องเริ่มได้ทันที ควบคู่กับงานเดิมที่ทำอยู่
- มันต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ไม่ใช่ทำสำเร็จก็ยังอดๆอยากๆอยู่ อันนี้ผิดทางแล้วครับ
แล้วก็วิธีพิจารณาบริษัทก็
- เปิดมานานแค่ไหน
- ต้องเป็นบริษัทที่มีทั่วโลก
- คุณภาพสินค้าต้องดี
- เห็นความสำคัญของผู้จำหน่ายมาก่อนกำไรบริษัท
- ต้องเป็นเครือข่ายแบบ MLM อันนี้ความเห็นส่วนตัวครับ ผมคิดว่ามันมีโอกาสสำเร็จมากกว่า SLM
- ไม่เป็นลูกโซ่ อันนี้ต้องดูที่แผนธุรกิจกันเลยทีเดียว
   เขียนมาถึงตรงนี้ หลายคนคงมองว่า ไอ้นี่จะชวนทำขายตรงแน่ ผมขอบอกเลยนะครับ ที่ผมเขียนบล็อกขึ้นมานี้ ถึงแม้ท่านผู้อ่านจะสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำธุรกิจกับผมนะครับ ผมเพียงแค่ต้องการบอกในสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้าม โดยส่วนตัวของผมนั้น เป็นคนที่หาโอกาสให้กับตัวเองเสมอ ตอนแรกที่มีคนมาชวนผมไปฟังอบรมธุรกิจผมก็ไปฟัง แล้วเมื่อฟังแล้ว วิเคราะห์แล้ว มันมีความเป็นไปได้ ผมก็ไม่ปิดโอกาสตัวเอง ผมลงมือทำ ผมแค่อยากจะฝากไว้ว่า โอกาสเป็นของคนที่มองหาเสมอครับ ขอบคุณครับ

Wednesday, February 19, 2014

นิทานข้อคิด

      มีพี่คนนึงที่ผมรู้จัก แกจะคอยบอกน้องๆเสมอว่า ถ้าเราอยากทำธุรกิจไหน มันไม่สำคัญว่าเราจะเก่งแค่ไหน แต่มันสำคัญว่าตอนนี้เราคุยกับคนที่สำเร็จที่ธุรกิจนั้นมาแล้วกี่คน แล้วแกก็จะเล่านิทานเรื่องนึงให้ฟัง พอผมได้ฟังแล้วก็ โอ้โห คมมาก เพื่อนๆลองมาฟังกันดูนะครับ
     
      มีวัยรุ่นอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนสนิทกันมาก วันหนึ่งได้พากันเดินทางไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น แล้วก็ได้เข้าไปในร้านซูชิแห่งหนึ่ง บรรยากาศดีมาก 2คนเนี้ย ไม่เคยได้รู้จักอาหารญี่ปุ่นเลย พอไปถึงก็สั่งๆๆ พอได้ครบปุ๊บ ด้วยความที่ไม่รู้จัก ทั้งสองก็กินไม่เป็น สงสัยว่าไอ้เขียวๆ(วาซาบิ) มันคืออะไร กินยังไง แต่ด้วยความที่กลัวเสียหน้า ทั้งสองก็เก็บความไม่รู้เอาไว้ จนคนแรกก็บอกขึ้นมาอย่างมั่นใจว่า "นี่เพื่อน!! ไม่เคยกินล่ะสิ เดี๋ยวฉันจะกินให้ดู" ว่าแล้วชายหนุ่มคนนั้นก็ใช้ตะเกียบปาดวาซาบิเข้าปากไปครึ่งนึง เท่านั้นแหละครับ!! มันจี๊ดไปถึงสมอง แต่ด้วยความที่กลัวเสียฟอร์ม เลยได้แต่กลั้นความรู้สึกไว้ เพื่อนก็เลยถามว่า "เป็นไงๆ อาหารญี่ปุ่นต้นตำรับ" ชายคนแรกก็ตอบว่า "มันสุดยอดมาก ไม่เคยลิ้มรสชาติอาหารที่อร่อยแบบนี้มาก่อน ถ้าอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง แกต้องลองเอง" ว่าแล้วชายคนที่สองก็ตักวาซาบิที่เหลือใส่ปากตนเองทันที พอกินเข้าไปปุ๊บ น้ำตาก็ไหลพรากมาทันที ชายหนุ่มคนแรกเลยถาม "ไง อร่อยมากใช่มั้ยล่าาาา" ชายอีกคนเลยตอบด้วยเสียงอันราบเรียบว่า "มันสุดยอดมากจนกลั้นน้ำตาไม่ไหวเลยแหละ ชั้นดีใจแทนพ่อแกจริงๆที่มีลูกชายอย่างแก" นิทานเรื่องนี้สอนว่า อย่าที่จะเอ่ยปากถามคนที่มีประสปการณ์มาก่อน เพราะถ้าหากในชีวิตจริงแล้ว มันคงไม่ใช่แค่การกินวาซาบิ แต่มันหมายถึงชีวิตทั้งชีวิตเลยครับ

      เป็นไงบ้างครับ อาจจะยังเล่าไม่ดี และจบไม่ค่อยรู้เรื่องนะครับ แต่จะพยายามลงบทความดีๆ มาให้อ่านกันต่อไปนะครับบบบ ^__^

Tuesday, February 18, 2014

ปัญหา 4 อย่าง

มนุษย์โลกส่วนมาก จะประสบกับปัญหาใหญ่ๆอยู่ 4 ด้านซึ่งประกอบไปด้วย

1.ปัญหาการเงิน - คนจนก็จนเอาๆ ส่วนคนรวยก็รวยไม่รอใคร คนรวยปล่อยเงินให้คนจนกู้ คนรวยจ้างคนจนให้ทำงานให้ ถ้าบริหารเงินไม่ดี ปัญหาก็เกิดครับ

2.ปัญหาด้านความสัมพันธ์ - รักเค้าข้างเดียว แฟนนอกใจ แฟนมีกิ๊ก เพื่อนไม่รัก ฯลฯ

3.ปัญหาด้านสุขภาพ - คนบางคนทำงานทั้งชีวิต เพื่อหาเงินมากๆ แล้วค้นพบว่าเป็นมะเร็งตอนเกษียณ โหดร้ายมั้ยครับ?

4.ปัญหาด้านทัศนคติ - คิดลบ มองโลกง่ายร้ายไป ดูถูกตัวเอง คิดว่าตัวเองต่ำต้อย ไร้ความสามารถ

นี่แหละครับปัญหาที่คนส่วนใหญ่จะเจอ แล้วที่สำคัญ คนส่วนใหญ่ดันคิดว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดถ้าแก้ได้ ปัญหาข้ออื่นก็จะคลายตาม คุณคิดว่าข้อไหนครับ............. ถูกต้องครับ ปัญหาการเงิน แต่จริงๆแล้วปัญหาที่ควรแก้ก่อนเลยก็คือปัญหาด้านทัศนคติต่างหาก เมื่อตั้งโจทย์ผิด ก็แก้โจทย์ชีวิตผิดทาง ยิ่งเจอปัญหาก็ยิ่งพยายามหาเงินเพิ่ม พอทำงานหาเงินหนักขึ้นๆๆ เวลาก็เริ่มน้อยลง สุขภาพก็ย่ำแย่ ครอบครัวก็เริ่มขาดความอบอุ่น สุดท้ายชีวิตก็ยิ่งทุกข์ เห็นมั้ยล่ะครับว่า "เงิน" ไม่ได้ซื้อความสุขได้เลย แต่ถ้าเราแก้ที่ทัศนคติ เราจะสามารถตั้งโจทย์ชีวิตให้ถูกต้องได้ เราต้องถามตัวเองก่อนครับ ว่าชีวิตเราต้องการอะไรจริงๆ บางคนแค่ตั้งเป้าหมายชีวิตก็ใช้เงินเป็นตัวตั้งแล้วอ่ะครับ ลองเปลี่ยนนะครับ ลองดูว่า เราอยากได้ชีวิตแบบไหน แล้วเราค่อยหาทางทำให้มันเป็นจริงครับ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาหาแต่เงิน เงิน เงินแล้วก็เงินครับ ชีวิตคุณจะไม่มีความสุขเลยครับ ขอบคุณคร้าบบบบ ถ้าใครชอบก็เม้นต์เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะฮ้าฟฟฟฟฟ!!!!!!

Monday, February 17, 2014

มนุษย์...!!!

ว่ากันด้วยเรื่องของมนุษย์นะครับ
มี 3 ข้อนะครับที่บ่งบอกความเป็นมนุษย์ครับ
 - ข้อแรก มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวในโลกครับ ที่ต้องจ่ายเงินเพื่อความอยู่รอด
ง่ายๆ ลองเทียบกับแมวที่บ้านนะครับ มันจะอยู่ที่ไหนก็ได้ครับ เวลาหิวก็มีเราเอาข้าวไปให้มันกิน (นอกจากใช้เงินเพื่อความอยู่รอดของเราแล้ว ยังต้องใช้เงินเพื่อความอยู่รอดของแมวอีก = =!) หรือไม่ก็ลองนึกภาพนะครับ มีน้องหมาตัวนึงหิวโซนะครับ มาทำหน้าตาน่าสงสารตอนคุณกำลังกินลูกชิ้นอยู่ บางคนจะอดสงสารไม่ได้จึงให้มันกิน(โดยเฉพาะตัวไหนทำหน้าสงสารแถมน่ารักให้ด้วยอ่ะ) เห็นมั้ยครับไม่ต้องใช้เงินเลย แต่ลองเปลี่ยนเป็นผมหิวมาก แล้วเดินไปทำหน้าตาน่าสงสาร กระพริบตาปริบๆ ก็คงไม่มีใครให้ผมกินหรอกครับ จะมีแต่บอก ไอ้นี่ไม่มีมารยาท
 - ข้อสองนะครับ มนุษย์เป็นสัวต์ขนิดเดียวในโลกนะครับที่รู้ว่ามีจุดจบ (ซึ่งบังเอิญคือตาย) หลายคนจึงได้คิดว่าชีวิตนี้ใช้ซะ!!!
 - ข้อสุดท้ายนะครับ มนุษย์เป็นสัวต์ชนิดเดียวในโลกที่มีรวยมีจนครับ
นี่แหละครับข้อแตกต่างเล็กๆน้อยๆ แต่จริงครับ แล้วพบกันใหม่ขอบคุณครับ

Thursday, February 13, 2014

เงิน 4 ด้าน

ห่างหายกันไปนานเลยทีเดียวนะครับ (เกือบปี ==!)
วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องเงินๆทองๆกันบ้าง หุหุ
เรื่องเงิน 4 ด้านนะครับ
ถ้าใครเคยอ่านหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" มาแล้ว ก็คงจะรู้จักแล้วนะครับ
แต่วันนี้ผมจะขอแบ่งปันให้คนที่ยังไม่เคยได้ยิน หรือลืมไปแล้วสักหน่อยครับ
ว่าแล้วก็มาเริ่มเดินทางสู่การมีอิสรภาพทางการเงินกันเลยดีกว่าครับ


ทีนี้เรามาดูกันนครับว่ามีอะไรบ้าง
เรามาเริ่มจากฝั่งซ้ายก่อนนะครับ คือ Active Income
Active Income ก็คือ มีรายได้ก็ต่อเมื่อยังมีแรงทำก็จะแบ่งเป็น
E - Employee หรือเรียกง่ายๆ ก็มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆนี่เองครับ ได้เงินเป็นรายเดือน
ถ้าเป็นเอกชน พอเกษียณแล้วก็หมดรายได้ มีความมั่นคงน้อยครับ ตกงานทีเท่ากับล้มละลายเลยทีเดียว
S - Self Employee หรือ เจ้าของกิจการนั่นเอง ต้องแยกให้ออกนะครับระหว่างเจ้าของกิจการกับเจ้าของธุรกิจ เจ้าของกิจการก็เช่น ผมทำงาน เก็บเงินได้ก้อนนึง เอามาเปิดร้านขายอุปกรณ์ไอที หรือรับเป็น ฟรีแลนซ์ตามสายอาชีพต่างๆเป็นต้นครับ คนประเภทนี้จะมีเงินมากกว่า E ประเภทแรก เพราะได้กำไรจากโปรเจคเต็มๆ แต่ถ้าเกิดหยุดกิจการ รายได้ก็จะหยุดตามไปด้วยครับ
B - Business Owner เจ้าของธุรกิจ ที่มีระบบดี อันนี้พูดให้เข้าใจง่ายๆก็ ธุรกิจที่มีเฟรนไชส์ครับ เช่น 7/1 นั่นเองครับ มีความมั่นคงมาก มีคนทำงานแทน ไม่ต้องนั่งเฝ้าร้านก็ได้เงินครับ
I - Investor นักลงทุนครับ จะคล้ายกับเจ้าของธุรกิจ แต่จะใช้เงินทำงานแทน โดยการเอาไปลงทุนใน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ แล้วรอให้สินทรัพย์งอกเงยขึ้นมาครับ รวย สบาย แต่มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกันครับ

เอาล่ะครับทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วแหละครับว่าจะเลือกอยู่ด้านไหนครับ ส่วนผมตอนนี้กำลังเริ่มผันตัวเองไปเป็นฝั่ง I ให้ได้ครับ ขอให้โชคดีทุกคนนะครับ ^^